นายชัยฤทธิ์ ผิวผุด หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า บ้านขุนพิทักษ์บริหาร หรือบ้านเขียว อายุกว่า 100 ปี เป็นบ้านไม้ทรงปั้นหยาหลังใหญ่อยู่ริมแม่น้ำน้อย หมู่ 2 ต.อมฤต อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยานั้น การประชุมคณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีนางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธาน ได้เห็นชอบรายชื่อโบราณสถาน 16 แห่งเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ซึ่งบ้านขุนพิทักษ์บริหารเป็นหนึ่งในนั้น นับว่าเป็นการยกคุณค่าของโบราณสถานและเป็นการเพิ่มโทษ หากใครเข้าไปบุกรุกหรือทำลาย ส่วนแนวทางการบูรณะอนุรักษ์กรมศิลปากรเปิดกว้างแก่ส่วนราชการท้องถิ่นสามารถนำงบประมาณมาดำเนินการได้ เพราะหากรองบประมาณจากกรมศิลปากรอาจต้องใช้เวลาหรือมีจำนวนไม่มาก แต่การบูรณะนั้นทางกรมศิลปากรจะมีนักวิชาการ นักโบราณคดี เข้าไปช่วยควบคุมดูแลให้คงไว้และทรงคุณค่าตามรูปแบบเดิมถูกต้องตามหลักโบราณคดี
ด้านนายสุพจน์ โล่ปราบปัจจามิตร อายุ 67 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ต.อมฤต กล่าวว่า สภาพปัจจุบันของบ้านขุนพิทักษ์บริหารทรุดโทรมไปมาก เป็นทรัพย์สินทางราชการ โดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่พระนครศรีอยุธยากำกับดูแลข่าวที่กรมศิลปากรจะขึ้นเป็นทะเบียนเป็นโบราณสถานนั้น สร้างความดีใจแก่ชาวบ้านอำเภอผักไห่อย่างมาก เพราะต่อไปจะได้รับการบูรณะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมศิลปากร จังหวัด เทศบาลเมืองผักไห่ ธนารักษ์พื้นที่ เพื่อให้กลับมาทรงคุณค่าสมกับเป็นโบราณสถานของชาติ และจะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งบ้านหลังนี้จากการค้นหาข้อมูลพบว่าก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 มีขุนพิทักษ์บริหาร (พึ่ง มิลินทวนิช) และนางจ่าง ภรรยาเป็นเจ้าของบ้าน โดยขุนพิทักษ์ฯ รับราชการเป็นนายแขวงเสนาใหญ่ คืออำเภอผักไห่ในปัจจุบัน โดยเป็นบ้านทรงปั้นหยา 2 ชั้น ยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามในสมัยนั้น หลังจากขุนพิทักษ์ฯ สิ้นแล้วได้ยกบ้านให้หลวงเมื่อ พ.ศ.2505. - ก.013(451)