ข่าวออนไลน์

ปวดหัวไม่หาย...ทำยังไงดีเนี่ย?

 

หลายท่านคงเคยประสบกับอาการปวดหัวกันไม่มากก็น้อย เป็นหวัดตัวร้อนก็ปวดหัว ทำงานหนักใช้สมองเยอะ เครียด ก็ปวดหัว นอนไม่พอตื่นกลางคืน
บ่อยก็ปวดหัว บางครั้งเราซื้อยาพารา กินสักเม็ดสองเม็ด นอนสักพักตื่นมาก็หาย ไปลุยงานใช้ชีวิตต่อได้ ในขณะเดียวกันเราก็เคยได้ยินเรื่องราวของผู้ป่วยหรือคนรู้จักที่มีอาการปวดหัวไม่หายแล้วไปตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายในสมอง เช่น เนื้องอก ติดเชื้อ เส้นเลือดสมองแตก เป็นต้น คนที่ปวดหัวไม่หายบางรายแค่ได้รับยาที่เหมาะสมก็หาย บางรายอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต บทความสั้นๆ นี้จะให้ความรู้เบื้องต้นว่าเมื่อเราปวดหัวไม่หายหรือปวดหัวรุนแรงนั้นสาเหตุที่พบบ่อยๆเกิดจากอะไรบ้าง เมื่อไหร่ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ไม่ควรรอ เมื่อไปพบแพทย์แล้วแพทย์จะช่วยเหลืออะไรเราได้บ้าง

    การปวดหัวนั้นทางการแพทย์เราแบ่งเป็น 2 แบบหลักๆคือ 1) ปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary headache) และ 2) ปวดหัวแบบทุติยภูมิ
(Secondary headache) ปวดแบบแรกนั้นเราจะรู้กันว่าแม้บางครั้งอาการจะปวดรุนแรง ผู้ป่วยเจ็บปวดมาก แต่มันไม่อันตรายและไม่ทำให้เกิดการพิการถาวร ทั้งนี้เนื่องจากการปวดหัวแบบปฐมภูมินั้นหมายถึงความรู้สึกปวดผิดปกติที่เกิดขึ้นเองจากระบบรับความรู้สึกบริเวณศีรษะและต้นคอโดยที่ไม่ได้มีภาวะอื่นเป็นต้นเหตุ การปวดแบบนี้มี 4 กลุ่มหลักได้แก่
  1. ไมเกรน   (Migraine)
  2. ปวดศีรษะแบบบีบตึง  (Tension-type headache)
  3. ปวดเส้นประสาทร่วมกับระบบอัตโนมัติแปรปรวน  (Trigeminal autonomic cephalagias)
  4. ภาวะปวดปฐมภูมิอื่นๆ  (Other primary headache disorder)
    ข้อมูลกว้างๆ เหล่านี้รู้ไว้คราวๆ เผื่อเวลาคุณหมอวินิจฉัยเรามาเราจะได้ไม่งงครับ หลายท่านอาจสงสัยว่ามันมีด้วยเหรอที่อยู่ดีๆ เราก็รู้สึกปวดหนักๆลึกๆ
ตุบๆเหมือนมีใครเอาไม้มาทุบ หรือปวดจี๊ดๆแปล็บๆเหมือนมีเข็มมาแทง โดยที่จริงๆแล้วไม่ได้มีไม้หรือเข็มมาทำร้ายเรา คำตอบคือมีครับก็คือโรคในกลุ่มปวดหัวปฐมภูมินี้แหละครับและพบบ่อยเสียด้วย สมองคนเราทำงานซับซ้อนแต่เป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน บางครั้งระบบก็เกิดรวนเสียเอง ระบบรับรู้ความรู้สึกควรจะรายงานความเจ็บปวดเมื่อมีสิ่งคุกคามมาทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อเราแต่ในกรณีนี้ ไม่ได้มีสิ่งคุกคามแต่กลับรายงานความเจ็บปวดไปทำให้เรารู้สึกปวดขึ้นมา หรือมีสิ่งคุกคามเพียงเล็กน้อยกลับรายงานมากเกินความเป็นจริงหรือเรียกได้ว่าระบบนี้ทำงานไวเกินและมากเกินปกตินั้นเอง อย่างที่กล่าวว่ามันไม่อันตราย ไม่ทำให้พิการ แต่บางครั้งสุดยอดทรมานเลย ผู้ป่วยกลุ่มนี้หลายรายตอนอาการกำเริบจะเป็นมากจนไปทำการทำงาน ใช้ชีวิตประจำตามปกติไม่ได้ ต้องนอนอยู่นิ่งๆ ขยับเล็กน้อยก็ปวด ไปตรวจผ่านการทำ x-ray สมองไปหลายครั้งผลก็ปกติแต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นเลย บางรายไปได้รับการรักษาที่ไม่เหมาะสมกลับพบกับผลข้างเคียงของการรักษาอีก อ่านไปอ่านมาชักเริ่มเครียดตาม แต่ความจริงแล้วเพียงแค่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอาการดีขึ้นและบางส่วนอาการสงบจนหายจากการปวดหัวได้ครับ
    การปวดหัวแบบที่2 ปวดหัวแบบทุติยภูมิ คือการปวดที่มีสาเหตุอื่นกระทำกับอวัยวะบริเวณศีรษะและต้นคอของเราเช่นมีเนื้องอกไปกด มีเส้นเลือดสมอง
แตก เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ต้นเหตุที่เหมาะสม โอกาสจะไม่หายปวดมีสูงมากต่อให้กินยาแก้ปวดมากมายสักเท่าใดก็ตาม ซ้ำร้ายเมื่อโรคลุกลามอาจพิการหรือเสียชีวิตได้ การรักษาโรคต้นเหตุก็แตกต่างกันตามธรรมชาติการดำเนินโรคแต่ละโรค บางโรคแค่ให้ยาก็หาย บางกรณีต้องการการผ่าตัด ดังนั้นรายละเอียดในการรักษาจึงจำเป็นต้องได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบเป็นรายๆไปโดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญดังนั้นคนเราป่วยเป็นโรคเดียวกันการรักษาอาจไม่เหมือนกันก็ได้ครับ ผู้ป่วยบางรายเป็นไมเกรนเดิมอยู่มานานแต่การปวดหัวครั้งใหม่นี้แปลกไปอาจจะมีสาเหตุอื่นที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ก็เป็นได้ เพราะเหตุผลเหล่านี้แหละผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงควรรีบไปพบแพทย์ไม่ควรรอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วในฐานะผู้ป่วยเราจะสังเกตตัวเองอย่างไรหล่ะ เราแนะนำกว้างๆอย่างนี้ครับถ้าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ควรไปปรึกษาแพทย์ เราเรียกว่าอาการธงแดง ( Red flag)
  1. การปวดหัวแบบใหม่โดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  2. ความรุนแรงของการปวดมากอย่างที่ไม่เคยเป็น
  3. มีอาการที่สงสัยว่ามีการทำงานของสมองผิดปกติเช่น การมองเห็นที่ผิดปกติ, แขนขาอ่อนแรง, การทรงตัวผิดปกติ
  4. อาเจียนรุนแรง
  5. ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป
  6. มีไข้สูงตัวร้อนร่วมด้วย
    ผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าทุกรายต้องมีโรคร้ายในสมองเสมอไป เพียงแต่ถ้ามีควรจะต้องมาให้แพทย์ตรวจเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้นไม่ควร
ชะล่าใจ เมื่อมาพบแพทย์สิ่งที่แพทย์จะทำเริ่มแรกคือถามประวัติอาการเจ็บป่วยของเรา คำถามที่พบบ่อยๆก็เช่น ปวดมานานเท่าไหร่  บริเวณที่ปวดคือตรงไหน ร้าวไปไหนบ้างไหม การเปลี่ยนแปลงของอาการปวดเป็นอย่างไร มีอาการอื่นอะไรร่วมด้วยไหม ปัจจัยอะไรทำให้ปวดมากขึ้น อะไรทำให้ปวดน้อยลง มียาอะไรที่กินอยู่บ้าง โรคประจำตัวเรามีอะไรบ้าง เป็นต้น เราก็ตอบตามที่เราเป็นยิ่งเล่าอาการได้ละเอียดถูกต้องแพทย์จะยิ่งรักษาเราได้ดีมากขึ้น จากนั้นแพทย์จะเริ่มตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างเหมาะสม ถ้าจากประวัติและตรวจร่างกายชวนให้สงสัยโรคร้ายในสมองแพทย์ก็จะแนะนำการตรวจเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น สแกนคอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) สแกนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI scan) เจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เป็นต้น การที่แพทย์จะแนะนำการตรวจเพิ่มเติมแบบไหนขึ้นอยู่กับข้อมูลของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะต้องตรวจเพิ่มเติมไม่เหมือนกัน

ที่มา โพสจัง