ขอย้อนไปตามรอย พระอุบาลีมหาเถระ แห่งกรุงศรีอยุธยา พระอุบาลีมหาเถระนั้นเดิมพำนักอยู่ที่วัดธรรมาราม เป็นวัดเล็กๆ อยู่ระหว่างวัดท่าการ้อง กับวัดกษัตราธิราช ปัจจุบันคือตำบลบ้านป้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นพระธรรมทูตในสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ด้วยท่านเป็นผู้นำคณะสงฆ์ชุดเดียวที่เดินทางไปศรีลังกาที่ประสงค์ให้พระอุบาลีเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ทำการอุปสมบทแก่สามเณรชาวสิงหล เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาในศรีลังกาต่อไป
ขณะนั้นคณะสงฆ์ในศรีลังกาเกือบสิ้นสมณวงศ์ เหลือแต่สามเณรเพียงรูปเดียว นามว่า สรณังกร แต่ด้วยเหตุพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ศรีลังกามีความศรัทธาแรงกล้าที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนสู่ศรีลังกาอีกครั้ง จึงส่งราชทูตมายังกรุงศรีอยุธยา ในปีพ.ศ.2294พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา โปรดให้คัดเลือกพระสงฆ์ที่แตกฉานในพระไตรปิฎกและเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ประกอบด้วย พระสงฆ์ 24 รูป นำโดยพระอุบาลีมหาเถระและพระอริยมุนีมหาเถระ พร้อมทั้งสามเณรอีก 7 รูป ออกเดินทางด้วยเรือกำปั่นหลวงที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นพาหนะส่งคณะสงฆ์ไทยไปลังกา
เมื่อคณะไปถึงศรีลังกา คณะได้จำวัดอยู่ที่วัดบุปผาราม ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าวัดมัลวัตตะ และเป็นวัดของสังฆนายก คณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์ คณะมัลวัตตะ อยู่ตรงกันข้ามกับวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งมีทะเลสาบกั้นกลาง อยู่ในเมืองศิริวัฒนนคร (ปัจจุบันคือเมืองกัณฎี) คณะได้ให้บรรพชาอุปสมบทแก่ชาวศรีลังกาอยู่ 3 ปี พ.ศ.2295-2298 มีพระภิกษุ 700 รูป สามเณร 3,000 รูป
พระอุบาลีเถระได้เป็นพระอุปัชฌาย์ทำการอุปสมบทสามเณรสรณังกรเป็นพระสรณังกร (ต่อมาคือพระสังฆราชรูปแรกแห่งสยามวงศ์) และกุลบุตรชาวสิงหลเป็นพระภิกษุจำนวนมาก จนสามารถสืบทอดพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน โดยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ เป็นองค์ศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนาตลอดมา
พระอุบาลีมหาเถระ ได้ริเริ่มให้มีการจัดเทศกาล แห่พระเขี้ยวแก้ว (เอสาละ เปราเหรา) ในเมืองกัณฎีขึ้น จนเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงและถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนาของศรีลังกาที่รู้จักกันทั่วไป ครั้งนั้นพุทธศาสนาจากสยามโดยการอุปสมบทของพระอุบาลีเถระนั้นมีความมั่นคงจนเป็นนิกายสำคัญขึ้นในศรีลังกา คือ พุทธศาสนา “สยามวงศ์” หรือ “สยามนิกาย” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายสำคัญ 3 นิกาย ของพุทธศาสนาในศรีลังกา
ในสมัยเดียวกันนั้น มีสามเณรอีกคณะหนึ่งเดินทางไปขอรับการอุปสมบทในประเทศพม่า แล้วกลับมาตั้งเป็นนิกาย "อมรปุรนิกาย" และอีกคณะเดินทางไปขออุปสมบทจากคณะสงฆ์เมืองมอญ กลับมาตั้งนิกาย "รามัญนิกาย" จึงทำให้ศรีลังกามีนิกายพุทธศาสนา 3 นิกาย มาจนถึงปัจจุบันนี้
1. สยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์ เป็นนิกายหลัก มีจำนวนวัดเกินกึ่งหนึ่งของวัดทั้งประเทศ แต่จำกัดให้เฉพาะผู้อยู่ในวรรณะสูงเท่านั้นที่จะบวช เป็นพระในนิกายนี้ได้
2. อมรปุรนิกาย (พม่า)
3. รามัญนิกาย (มอญ)
1. สยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์ เป็นนิกายหลัก มีจำนวนวัดเกินกึ่งหนึ่งของวัดทั้งประเทศ แต่จำกัดให้เฉพาะผู้อยู่ในวรรณะสูงเท่านั้นที่จะบวช เป็นพระในนิกายนี้ได้
2. อมรปุรนิกาย (พม่า)
3. รามัญนิกาย (มอญ)
แต่ด้วยเหตุที่ท่าน มรณภาพที่ศรีลังกา จึงทำให้ไม่มีข้อมูลอันใดในกรุงศรีอยุธยาเลย กล่าวคือพระอุบาลีมรณภาพด้วยโรคหูอักเสบ ภายในกุฏิวัดบุปผาราม (มัลวัตตวิหาร) เมื่อปีพ.ศ.2299 ครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินศรีลังกาให้จัดพิธีถวายเพลิงศพอย่างสมเกียรติ โดยจัดที่สุสานหลวงนามว่าอาดาหะนะมะลุวะ ปัจจุบันก็คือวัดอัศคิริยะเคดิเควิหาร ในเมืองกัณฎี สถานที่นี้ได้ก่ออิฐล้อมสถานที่เผาศพพระเถระสำคัญไว้ หลังเสร็จสิ้นพิธีถวายเพลิงศพแล้ว ทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์บนยอดเขาใกล้วัดอัสคีริยะบรรจุอัฐิเพื่อสักการบูชาขึ้น
สำหรับวัดบุปผารามนั้น ยังมีกุฏิพระอุบาลีมหาเถระที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่มีเตียงเก่าๆ และโต๊ะเก้าอี้เท่านั้น ส่วนบริขารและสิ่งของที่ท่านเคยใช้สอยที่เหลืออยู่นั้น ชาวศรีลังกานับถือเป็นสิ่งเคารพ จึงเก็บรักษาไว้จนทุกวันนี้ ด้วยความกล้าหาญของพระอุบาลีเถระที่นำคณะสงฆ์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปศรีลังกาครั้งนั้น นับว่าเป็นพระธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสยามและเป็นพระเถระผู้สถาปนาพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์อย่างมั่นคงในศรีลังกา ตราบจนถึงปัจจุบัน
..........................................................................................
ที่มา โพสจัง